วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การสัมภาษณ์บุคคลที่ไม่รู้จัก

                


               บ่ายวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2013 อากาศค่อนข้างที่จะอบอ้าว ฝนทำท่าจะตก ผมรีบเดินทางอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันก่อนฝนที่กำลังจะตกลงมา เพราะวันนี้ผมมีนัดกับชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักเขามาก่อน แต่อะไรกันเล่าดลใจให้ผมตอบตกลงว่าผมจะมาสัมภาษณ์ที่บ้านของเขา นั่นคือสิ่งที่ผมยังคงคิดทบทวนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาที่ผมเดินทางมา ผมมายืนอยู่หน้าบ้านของเขา ผมมองกระดาษที่จดบ้านเลขที่ซึ่งก็ตรงกับบ้านที่ผมยืนอยู่ข้างหน้า ผมลังเลที่จะกดกริ่ง แต่ในที่สุดผมก็กดกริ่งจนได้
                “สวัสดีครับ เชิญเข้ามาข้างในก่อนครับชายเจ้าของบ้านเปิดประตูออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาผายมือให้ผมเดินเข้าไปในบ้าน ผมยิ้มและพยักหน้าให้เขาและเดินเข้าไปในบ้านของเขา เชิญนั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้
                “ขอบคุณครับผมตอบ
                “นี่ครับน้ำเขาวางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะข้างหน้าที่ผมนั่ง ส่วนตัวเขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับผม ขอบคุณมากครับ ที่คุณมาสัมภาษณ์ผม ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากๆเลยครับ” 
                ผมยิ้มตอบให้เขา แต่ภายในใจของผมยังคงมีคำถามที่ว่า ทำไมผมต้องมาสัมภาษณ์ชายคนนี้และเขาเป็นใครกัน แต่หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ การสัมภาษณ์บุคคลที่ไม่รู้จักกำลังจะเริ่มขึ้น
                “พร้อมที่จะสัมภาษณ์แล้วใช่ไหมครับผมถามเขาพร้อมกับหยิบเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมาวางที่โต๊ะข้างหน้า
                “ผมพร้อมแล้วครับ” 




Q : อันดับแรกแนะนำตัวก่อนเลยครับ
A : สวัสดีครับ ผมชื่อ ภวินท์ ชินทร์นลัย ชื่อเล่นว่า ‘ฟิกซ์’ แปลว่าประจำครับ ชื่อเต็มๆของผมคือ 
เปโตร ภวินท์ ชินทร์นลัย ครอบครัวผมเป็นคาทอลิกยกเว้นคุณแม่ที่เป็นพุทธครับ ผมเข้ารับศีลล้างบาปที่วัดนักบุญ ฟรังซิสเซเวียร์ ที่สามเสน ชาวคาทอลิกต้องมีนักบุญประจำตัวทุกคน คุณพ่อเลยเลือกนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นสาวกคนสำคัญของพระเยซูและเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของศาสนจักรโรมันคาทอลิกด้วยครับ



Q : ชื่อ ภวินท์ แปลว่าอะไรครับ ?
A : แปลว่าเจ้าแห่งภพเป็นใหญ่ในโลกครับ แต่ก่อนที่ผมจะชื่อภวินท์ ผมมีชื่อเก่าว่า กฤษณะ แต่ด้วยความที่ว่าผมเกิดวันอาทิตย์ คนที่เกิดวันอาทิตย์เขาห้ามมีตัวอักษร " ศ ษ ส ห ฬ ฮ " อยู่ในชื่อ เพราะเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ประกอบกับเป็นคาทอลิกแต่ชื่อ กฤษณะ เป็นเทพของศาสนาฮินดู คงจะแปลกๆสำหรับคนอื่นๆ เลยเปลี่ยนชื่อตอนผมอยู่อนุบาล 3 ครับ
Q : แล้วการศึกษาละครับ ?
A : ผมเข้าศึกษาที่โรงเรียนโยนออฟอาร์ค ตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 ครับ ก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรตอนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนโยธินบูรณะตอนมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 และปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะสังคมศาสตร์ วิชาเอกสังคมศึกษา (กศ.บ. 5 ปี) หรือครูสังคมนั่นเองครับ
Q : ทำไมถึงอยากเป็นครูละครับ ?
A : ผมเป็นคนที่ชอบวิชาประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เป็นเพราะคุณพ่อชอบเช่าวีดีโอหนังฝรั่งมาดู ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ก็ไปนั่งดูด้วยบ้างไม่ได้ดูบ้าง แต่มีบางเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกชอบเป็นพิเศษ นั่นคือหนังแนวสงคราม ผมชอบที่จะดูฉากสงครามที่อัศวินใส่ชุดเกราะเข้าตะลุมบอนกัน ชอบฉากทหารยุคใหม่ยืนแถวหน้ากระดานยิงปืนใส่กัน หรือแม้แต่ฉากการยกพลขึ้นบกของทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพเหล่านี้ติดตาและตรึงใจผมมาก ทำให้ผมเริ่มที่จะชอบดูหนังและอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ รวมไปถึงเกมแนวประวัติศาสตร์ด้วยครับ





Q : ดูเหมือนว่าคุณจะชอบทางด้านประวัติศาสตร์มากกว่าด้านครู ?
A : ใช่ครับ ด้วยความที่ผมชอบประวัติศาสตร์ผมจึงอยากเรียนต่อทางด้านโบราณคดี แต่หลังจากที่ผมไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมาพอสมควรผมจึงล้มเลิกความคิดที่จะเรียนต่อด้านโบราณคดีเพราะเหตุผลทางด้านการหางานครับ
Q : แล้วทำไมถึงเริ่มสนใจเรียนครูละครับ ?
A : ตอนผมอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนได้จัดงานอำลาอาลัยให้กับคุณครูที่เกษียณอายุราชการ ภาพที่ทุกๆคนเห็นคือคุณครูที่กำลังกล่าวโอวาทและคำอำลาให้กับนักเรียน แต่ภาพที่ผมเห็นคือตัวผมเองตอนเกษียณกำลังยืนกล่าวโอวาทและคำอำลาอยู่บนเวที นั่นคือสาเหตุที่ผมเลือกที่จะเรียนครูครับ
Q : มันดูไม่ง่ายไปหน่อยหรือครับ ?
A : ผมก็ว่าแบบนั้นเหมือนกันนะครับ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดูง่ายมาก แต่ที่จริงแล้วเวลาที่ผมอยู่บ้าน ผมก็สอนการบ้านให้น้องสาวนะครับ และผมเป็นคนที่ชอบเด็กด้วย เวลาผมอยู่กับเด็กๆแล้วผมรู้สึกว่า ผมมีความสุข เพราะเด็กไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาผมเลย และมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากๆเลย
Q : เหตุผลที่ว่าคืออะไรครับ ?
A : ผมอยากรับราชการครับ เพราะในครอบครัวของผมยังไม่มีใครรับราชการเลย ผมอยากเป็นข้าราชการมีเงินเดือนที่มั่นคง มีสวัสดิการให้พ่อแม่  ผมเป็นพี่คนโตของบ้านผมต้องรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวต่อจากพ่อ เพราะฉะนั้นผมจึงอยากรับราชการเพื่อเป็นเสาหลักของความมั่นคงให้กับครอบครัวครับ
Q : เพราะเหตุนี้คุณถึงอยากที่จะเรียนโบราณคดีและเรียนครูเพราะเหตุผลที่ว่าทั้งสองด้านนี้จบมาสามารถเป็นข้าราชการได้ ?
A : ใช่ครับ เหตุผลที่ผมเลือกเรียนครูก็เพราะผมอยากเป็นข้าราชการด้วย แต่อย่างที่ผมได้บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่า ผมชอบประวัติศาสตร์ แล้วมีทางใดบ้างที่ผมจะสามารถอยู่กับประวัติศาสตร์ได้ ด้านอื่นๆผมก็ไม่เก่ง เพราะฉะนั้นครูสังคมคือคำตอบครับ เพราะครูสังคมสอนถึง 5 สาระ และหนึ่งในนั้นคือประวัติศาสตร์
Q : แล้วสาระอื่นๆที่เหลือคุณสามารถที่จะเรียนและนำไปสอนได้ใช่ไหมครับ ?
A : ได้ครับ แม้ว่าบางสาระผมอาจจะไม่ถนัดมากเช่น วิชาพุทธศาสนา แต่ผมก็ต้องพยายามเต็มที่ครับ ในเมื่อผมเลือกที่จะเดินมาทางด้านนี้แล้ว 
Q : เท่ากับว่าทุกวันนี้คุณทำฝันสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ?
A : ใช่ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าฝันของผมไปถึงครึ่งทางแล้วหรือยัง เพราะผมยังไม่ได้สอบบรรจุเป็นข้าราชการ ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวเลยครับ 
Q : คิดไปไกลถึงตอนมีครอบครัวเลยหรอครับ ?
A : มันก็ต้องมีกันบ้างนะครับ ทุกๆคนก็ต้องฝันที่จะอยากมีครอบครัวเป็นอย่างไรในอนาคต อย่างผมก็ฝันไว้ว่าอยากได้ภรรยาที่เป็นแม่ศรีเรือนนะครับ คำว่าแม่ศรีเรือนในความหมายของผมไม่ใช่นั่งพับเพียบเรียบร้อยเหมือนสมัยก่อน แต่คือทำอาหารเป็น ทำงานบ้านได้ครับ มีวิธีเลี้ยงลูกที่ดี สอนให้ลูกของผมเป็นเด็กที่ดีและเก่งได้ ผมอยากให้ภรรยาผมเป็นแม่บ้าน ส่วนผมเองยอมเหนื่อยทำงานนอกบ้านครับ แต่สังคมสมัยนี้มันเปลี่ยนไป ต้องช่วยกันทำงานทั้งสองคนครับ ไม่อย่างนั้นเงินไม่พอใช้




Q : แล้วเกี่ยวกับการเป็นคุณครูละครับ ?
A : คนเราสมัยนี้ต้องเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง เพราะฉะนั้นแล้วผมตั้งใจที่จะสอนคุณธรรมควบคู่ไปกับความรู้ เพื่อสร้างผู้ใหญ่ในอนาคตที่เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ก็โกงกินกันมามากพอแล้ว ผมอยากจะทำให้มันหมดไป แต่ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะทุกวันนี้แม้แต่ข้าราชการทุกสังกัดทุกหน่วยงานเองก็ยังโกงกันอยู่เลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ แต่ผมก็ตั้งใจว่าอย่างน้อยขอให้เด็กที่เป็นลูกศิษย์ผมเป็นคนดีของสังคมก็พอแล้วครับ
Q : สุดท้ายครับ คุณใช้คติอะไรในการดำเนินชีวิตครับ ?
A : คติที่ผมใช้ เป็นคติเดียวกันกับที่คุณพ่อผมใช้ และคุณพ่อผมก็รับมาจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกทีว่า "
ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง"
   
                   ผมปิดเครื่องบันทึกเสียงและกล่าวขอบคุณกับเขาที่ให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นอย่างดี และในที่สุดผมรวบรวมความกล้าที่จะถามเขาว่า
                   "ทำไมคุณถึงติดต่อให้ผมมาสัมภาษณ์คุณครับ ทั้งๆที่คุณและผมก็ไม่เคยรู้จักกันก่อน"
                   "เพราะผมต้องส่งงานวิชา ED 381 ของอาจารย์ นัทธีรัตน์ พีระพันธุ์ ครับ"
                   " ???? "